ประวัติความเป็นมาของกีฬากรีฑา
กรีฑานับเป็นกีฬาเก่าที่เกิดมาพร้อมกับมนุษย์ เพราะแต่ก่อนมนุษย์ไม่รู้จักทำมาหากินเป็นหลักแหล่ง
ไม่รู้จักสร้างที่พัก ตลอดจนสร้างเครื่องนุ่งห่มเหมือนมนุษย์ปัจจุบัน มนุษย์สมัยนั้นต้องต่อสู้กับ
ภัยธรรมชาติ และความดุร้ายของสัตว์ป่านานาชนิดและมีที่อยู่อาศัยแห่งเดียวกันคือ
ถ้ำ ซึ่งเรียกว่า “ มนุษย์ถ้ำ ” ( Cave man) และที่แห่งนี้เองที่เป็นต้นกำเนิดของการกีฬา
โดยที่มนุษย์เหล่านี้ ต้องป้องกันตัวเองจากสัตว์ร้าย บางครั้งต้องวิ่งเร็วเพื่อให้พ้นจากสัตว์ร้าย
การวิ่งเร็วหากเทียบกับปัจจุบันก็คือ การวิ่งระยะสั้น
หากการวิ่งหนีต้องใช้เวลาในการวิ่งนานๆ
ก็คือ การวิ่งระยะยาวหรือวิ่งทน
การวิ่งในที่นี้อาจรวมไปถึงการวิ่งเพื่อไล่จับสัตว์มาเป็นอาหารหรือการต่อสู้ระหว่างเผ่า
ในบางครั้งขณะที่วิ่งมีต้นไม้หรือก้อนหินขวางหน้า ถ้าเป็นที่ต่ำก็สามารถกระโดดข้ามได้
ปัจจุบันคือ การกระโดดข้ามรั้ว และกระโดดสูง ถ้าต้องการกระโดดข้ามได้อย่างธรรมดาจำเป็นต้องหาไม้ยาวๆ
มาปักกลางลำธารหรือแง่หิน และโหนตัวข้ามไปยังอีฝั่งหนึ่ง กลายเป็นการกระโดดค้ำ
การใช้หอกหรือแหลนหลาวที่ทำด้วยไม้ยาวๆ เป็นอาวุธพุ่งฆ่าสัตว์ ปัจจุบันก็กลายมาเป็นพุ่งแหลน
หรือการเอาก้อนหินใหญ่ๆ มาทุ่มใส่สัตว์ ขว้างสัตว์ กลายมาเป็นการขว้างจักร ในปัจจุบัน
จึงเห็นได้ว่าการ วิ่ง กระโดด ทุ่ม พุ่ง ขว้าง เหวี่ยง
ที่พ่อแม่หรือหัวหน้าเผ่าสั่งสอนถ่ายทอดให้ในสมัยนั้นมีไว้เพื่อใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน ในปัจจุบันก็มีเช่นเดียวกัน ซึ่งผู้ทำหน้าที่นี้คือ
ครูอาจารย์และโค้ชนั่นเอง
สมัยกรีก
ชาวกรีกโบราณเป็นผู้ริเริ่มการเล่นกีฬาขึ้นหลายอย่าง เมื่อราว 1,000 ปี
ก่อนคริสต์กาล กรีก คือ
ชนเผ่าหนุ่มซึ่งอพยพมาจากทางเหนือเข้ามาอยู่ในคาบสมุทรบอลข่าน และตั้งรกรากปะปนกับชาวพื้นเมืองเดิม แล้วสืบเชื้อสายผสมกันมาเป็นชาวกรีก ต่อมากรีกได้เจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุดในด้านต่างๆ
ทั้งด้านปรัชญา วรรณคดี ดนตรี
และการพลศึกษา โดยเฉพาะด้านการพลศึกษา นับว่ามีบทบาทสำคัญในชีวิตความเป็นอยู่ของชาวกรีกอย่างยิ่ง
เนื่องจากประเทศกรีกมีลักษณะภูมิศาสตร์ที่เต็มไปด้วยภูเขา
ความเป็นอยู่ในสมัยนั้นจึงเป็นไปอย่างหยาบๆ กรีกจะแบ่งออกเป็นรัฐ โดยแต่ละรัฐปกครองตนเอง
และเมื่อแต่ละรัฐคิดที่จะแย่งกันเป็นใหญ่ จึงมีการรบพุ่งกันอยู่เสมอ
รัฐที่สำคัญและเข้มแข็งมีอยู่สองรัฐคือ
เอเธนส์ และ สปาร์ต้า ชาวกรีก
มีความเชื่อในพระเจ้าต่างๆ หลายองค์ด้วยกัน
เช่น
1. เทพเจ้าซีอุส ( Zeus) เป็นประธานหรือพระเจ้าองค์ใหญ่ที่สุด
ในบรรดาพระเจ้าทั้งหลาย
2. พระเจ้าอะธินา ( Athena) คือ
เทพธิดาแห่งความเฉลียวฉลาด
3. เทพเจ้าอะพอลโล ( Apollo) คือ
เทพเจ้าแห่งแสงสว่างกับ
4. เทพเจ้าเฮอร์เมส ( Hermes) คือ
เทพเจ้าแห่งการสื่อสาร
5. เทพเจ้าอาเรส ( Ares) คือ เทพเจ้าแห่งสงคราม
6. เทพเจ้าอาร์ทีมิส ( Artemis) คือ เทพธิดาแห่งการล่า
ชาวกรีกเชื่อว่าเทพเจ้าเหล่านี้สถิตอยู่บนยอดเขาโอลิมปัส
( Olympus ) คล้ายกับเป็นผู้ชี้ชะตาของชาว กรีก
ชาวกรีกจึงพยายามที่จะเอาใจ ทำความเข้าใจ และสนิทกับพระเจ้า
โดยการบวงสรวงหรือทำพิธีกรรมต่างๆ เพื่อฉลองพระเกียรติของพระเจ้าเหล่านั้น ดังนั้นเวลา กระทำพิธีหรือมีงานฉลองมหกรรมใดๆ
ชาวกรีกจะจัดการแข่งขันกีฬาขึ้น ณ บริเวณยอดเขาโอลิมปัส
แต่ต่อมาคนมาร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก จึงย้ายสถานที่ลงมาที่ราบเชิง
เขาโอลิมปัส เพื่อเป็นการถวายความเคารพบูชาต่อเทพเจ้าซีอุส ประธานแห่งเทพเจ้าทั้งหลายของตนอย่างมโหฬาร
อนึ่งเมื่อเสร็จสิ้นการบวงสรวงตามพิธีการทางศาสนาแล้ว ก็มีการจัดการแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ
ขึ้นดังได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งการแข่งขันจะไม่มีพิธีรีตรองอะไรมากนัก เป็นเพียงแข่งขันไปตามที่กำหนดให้เท่านั้น ผู้ชนะของการแข่งขันก็ได้รับรางวัล ความมุ่งหมายในการแข่งขันของกรีกสมัยนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้พลเมืองมีสุขภาพสมบูรณ์
และมีร่างการที่สมส่วนสวยงาม
เมื่อกรีกเสื่อมอำนาจลงและต้องตกอยู่ภายใต้การครอบตรองของชนชาติโรมัน
การกีฬาของกรีก เริ่มเสื่อมโทรมลงตามลำดับ จนถึงปี พ.ศ. 937 ธีโอดอซีอุส มหาราชแห่งโรมัน
ประกาศห้ามชาวกรีก ประชุมแข่งขันกีฬาอีก จึงทำให้การเล่นกีฬาของกรีกต้องล้มเลิกไปเป็นเวลานานถึง
15 ศตวรรษ
สมัยโรมัน
ต่อมาในปลายสมัยของโฮเมอร์ มีชนเผ่าหนึ่งมาตั้งรกรากอยู่บนฝั่งแม่น้ำไทเบอร์
ด้านตะวันออกของกรีก ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นพวกโรมันชาตินักรบ มีความกล้าหาญอดทน และ มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ขึ้นมาพร้อมๆ
กับความเสื่อมลงของประเทศกรีก ชาวโรมันนิยมและศรัทธาพลศึกษามากเป็นชีวิตจิตใจ เขาถือว่าพลศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นแก่ชีวิตประจำวัน
ชาวโรมันฝึกฝนบุตรของตนมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ให้มีความสามารถในเชิงดาบ
โล่ห์ แหลน ในการสู้รบบนหลังม้า รวมทั้งการต่อสู้ประเภทอื่นๆ สนามฝึกหัดกีฬาเหล่านี้เรียกว่า
แคมปัสมาร์ติอุส ( Campusmartius) เป็นสนามกว้างใหญ่อยู่นอกตัวเมือง
และมีสถานฝึกแข่งว่ายน้ำสำคัญเรียกว่า เธอร์มา (Therma) และ
มีสนามกีฬาแห่งชาติขนาดใหญ่ในกรุงโรมที่จุคนได้ถึง 200,000 คน เรียกว่า โคลิเซี่ยม ( Coliseum)
ชาวโรมันชายทุกคนต้องเป็นทหารในยามสงคราม
เขาจึงฝึกพลศึกษาการต่อสู้แบบต่างๆ ในค่ายฝึกเสมอ ด้วยผลแห่งการฝึกพลศึกษา การกีฬา
และเชิงรบแต่เยาว์วัยของประชาชน โรมันจึงมีกองทัพอันเข้มแข็ง และสามารถแผ่อำนาจเข้าครองดินแดนรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
และยุโรปตะวันตกบางตอน รวมขึ้นเป็นราชอาณาจักรโรมัน ( The Roman Empire ) ต่อมาราชอาณาจักรโรมันก็เสื่อมลงเนื่องจากสาเหตุหลายประการ
การเสื่อมความนิยมในพลศึกษาซึ่งเป็นมูลเหตุสำคัญข้อหนึ่งเพราะชาวโรมันกลับเห็นว่าพลศึกษาเป็นของต่ำ
จึงเลิกเล่นกีฬาหันไปใช้พวกทาสแกลดิเอเตอร์ ( Gladiators) ต่อสู้กันเอง
บางครั้งก็ต่อสู้กับสัตว์ร้ายและเห็นว่าการศึกษาวิชาการมีประโยชน์กว่าวิชาพลศึกษา
ดังนั้นโรมันจึงกลายเป็นชาติที่อ่อนแอ จนถึงกับใช้ทหารรับจ้างในยามศึกสงครามแล้วในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่ชนชาวติวตัน ( Tue Ton) อันเป็นชาติที่นิยมกีฬากลางแจ้ง
และมีร่างการแข็งแรงสมบูรณ์
สมัยปัจจุบัน พ.ศ. 2435 นักกีฬาชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่ง
มีฐานันดรศักดิ์เป็น บารอน เปียร์ (บางท่านอ่านว่าปิแอร์) เดอ กูแบร์แตง ( Baron Piere de Coubertin) ท่านผู้นี้มีความ
สนใจในการกีฬาอย่างยิ่ง ได้พิจารณาเห็นว่าการแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศเป็นการเชื่อมความสามัคคี
ผูกมัดสัมพันธภาพระหว่างชาติต่างๆ ที่ร่วมการแข่งขันด้วยกัน เป็นการสมาคมชั้นสูง เพื่อแลกเปลี่ยนจิตใจของนักกีฬาอันแท้จริงต่อกัน
ไม่มีการผิดพ้องหมองใจกัน ซึ่งการแข่งขันกีฬาโอลิมเปียดสมัยโบราณ ได้ยุติลงเมื่อ พ.ศ. 935 เป็นเหตุที่ทำให้ห่วงสัมพันธภาพในการกีฬาขาดสะบั้นลง และเป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง
ท่านผู้นี้จึงได้เชื้อเชิญสหาย
คือ ศาสตราจารย์ W. Stone
แห่งสหรัฐอเมริกา
Victor Black แห่งสวีเดน Dr. Jiriguch แห่งโบเฮาเมีย Sir Johe Astenley แห่งบริเตนใหญ่ ร่วมกันเปิดการประชุมกีฬาโอลิมปิกขึ้นใหม่ โดยยึดเอาอุดมคติแห่งความยุติธรรม อ่อนโยน สุภาพ
มั่นคง และกำลังเป็นมูลฐานตามวัตถุประสงค์ของโอลิมเปียดโบราณที่ว่า Citus
, Altius, Fortius (เร็ว
, สูง , แรง) ผู้สนใจการกีฬา
คณะนี้ได้ปรึกษาหารือกัน
จนกระทั่งวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2437 จึงได้เกิดการประชุมใหญ่
ระหว่างผู้แทนประเทศต่างๆ ที่เมืองเซอร์มอนน์
ประเทศฝรั่งเศส และได้ประกาศตั้งคณะกรรมการโอลิมปิกระหว่างประเทศ ( International
Olympic Committee)และตกลงกันให้มีการชุมนุมกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกของสมัยปัจจุบันที่กรุงเอเธนส์
ประเทศ กรีก ใน พ.ศ. 2439 บารอน เปียร์ เดอ กูแบรแตง ได้มอบคำขวัญให้ไว้แก่การแข่งขันโอลิมปิกสมัยปัจจุบันนี้ว่า
“ สาระสำคัญในการแข่งขันโอลิมปิก ไม่ใช่การชนะ
แต่สำคัญอยู่ที่การเข้าร่วมแข่งขัน 4 ปีต่อ 1 ครั้ง โดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันระหว่างประเทศในเครือสมาชิก ”
โดยความคิดของ บารอน เปียร์ เดอ กูแบรแตง
ที่ได้รื้อฟื้นการแข่งขันโอลิมปิกขึ้น มิใช่เฉพาะเพื่อชัยชนะของผู้แข่งขันเท่านั้น
แต่สิ่งสำคัญ คือ การเข้าร่วมก่อให้เกิดสุขสันติภาพระหว่างชาติ
และก้าวไปสู่สันติของโลก
กรีฑาในประเทศไทย
สำหรับการแข่งขันกรีฑาในประเทศไทย กระทรวงธรรมการได้จัดให้มีการแข่งขันกรีฑานักเรียนครั้งแรก ในวันที่
11 มกราคม พ.ศ. 2440 ณ ท้องสนามหลวง
ในพิธีเปิดการแข่งขันครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานเปิดการแข่งขัน และทอดพระเนตรการแข่งขันนับตั้งแต่นั้นมา
กระทรวงธรรมการได้จัดให้มีการแข่งขันกรีฑานักเรียนประจำทุกปีตลอดมา
ปี พ.ศ. 2476
รัฐบาลได้จัดตั้ง
“ กรมพลศึกษา ” ขึ้น โดยมีนโยบายส่งเสริมการกีฬาของชาติ ให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น หลังจากนั้นกีฬาและกรีฑาก็ได้รับการสนับสนุนมากขึ้น โดยจัดให้มีการแข่งขัน
กรีฑาระหว่างโรงเรียน ระหว่างมหาวิทยาลัยและกรีฑาประชาชน
ปี พ.ศ. 2494
ได้มีการจัดตั้ง
“
สมาคมกรีฑาสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ” ขึ้น มีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการจัดการแข่งขันกรีฑาประเภทมหาวิทยาลัยและประชาชนแทนกรมพลศึกษา
ปี พ.ศ. 2504
ได้จัดตั้ง
“
องค์กรส่งเสริมกีฬาแห่งประเทศไทย ”
ขึ้น มีหน้าที่รับผิดชอบในการส่งเสริมกีฬาประชาชน
โดยจัดให้มีการแข่งขัน “ กีฬาแห่งชาติ ” ทุกปี
ปี พ.ศ. 2528
เปลี่ยนชื่อจากองค์กรส่งเสริมกีฬาแห่งประเทศไทย
เป็น “ การกีฬาแห่งประเทศไทย ”
ในการเล่นหรือการแข่งขันกรีฑา มีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้น้อย
ถ้ารู้จักการระมัดระวังอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น ผู้เล่นกรีฑาจึงมีข้อปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย ดังนี้
1.ควรแน่ใจและมั่นใจว่าสุขภาพร่างกายและจิตใจของตนเองอยู่ในสภาพที่พร้อมจะรับ
การฝึกฝน หรือการแข่งขัน
ถ้าเป็นไปได้ควรมีการตรวจสภาพร่างกายจากแพทย์ก่อน
2. ควรใช้เครื่องแต่งกายที่เหมาะสม รัดกุม
ทั้ง เสื้อ กางเกง
ถุงเท้า รองเท้า
3 ก่อนทำการฝึกซ้อมหรือทำการแข่งขันทุกครั้ง จะต้องอบอุ่นร่างกายให้เพียงพอ จะ
ช่วยลด อุบัติเหตุลงได้
4. ควรตรวจสภาพของสนาม อุปกรณ์ทุกชิ้น ให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย สมบูรณ์
และ
ปลอดภัย
5. ควรฝึกไปตามลำดับขั้นตอนจากง่ายไปยาก ตามที่ผู้ฝึกสอนแนะนำ
6. การใช้รองเท้าวิ่งที่มีตะปู ควรเลือกให้เหมาะสมกับสภาพสนาม เช่น
ถ้าลู่วิ่งแข็ง ควร
ใช้ รองเท้าที่มีพื้นตะปูสั้น ถ้าลู่วิ่งอ่อนนิ่มควรใช้รองเท้าที่มีพื้นตะปูยาว จะช่วยป้องกัน
อุบัติเหตุที่ข้อเท้าได้
7. ก่อนการทุ่มน้ำหนัก การขว้างจักร
หรือการพุ่งแหลน จะต้องแน่ใจว่าปลอดภัยจากผู้อื่น
8. หากเกิดการเจ็บป่วยขณะฝึกซ้อมหรือแข่งขัน ควรหยุด
และให้แพทย์ตรวจรักษาทันที
การฝึกซ้อมและการแข่งขัน จะต้องปฏิบัติตามระเบียบ กติกาการแข่งขันอย่างเคร่งครัด
กติกาการแข่งขันกรีฑา
การแข่งขันจะใช้กติกาการแข่งขันของสหพันธ์กรีฑานานาชาติ โดยมีเนื้อหาสำคัญสำหรับการแข่งขันประเภทต่างๆ
คือ
หลักเกณฑ์ในการแข่งขันตามกติกา ดังนี้
ประเภทลู่
1. ประเภทวิ่ง 100ม. ,200ม. ,400ม. ,ข้ามรั้ว 100ม. ,ข้ามรั้ว 110ม.
2. ประเภทวิ่ง 400ม. ,800 ม. ,วิ่งผลัด 4x100ม. ,วิ่งผลัด 4x400ม.
3. ประเภท 1,500ม.
4. ประเภท 3,000ม.วิ่งวิบาก 3,000ม.
5. ประเภท 5,000
ม.
6. ประเภท 10,000 ม.
การแข่งขันวิ่งผลัด
1. เขตรับส่งไม้คทามีระยะทาง 20 ม.โดยถือไม้คทาเป็นเกณฑ์ ไม่เกี่ยวกับขา แขน
ลำตัว ของนักกีฬา
2. การแข่งขันวิ่งผลัด 4x200ม.นักกีฬาคนที่ 1และ 2 จะต้องวิ่งช่องวิ่งของตนเองเท่านั้น คนที่ 3
จะวิ่งในช่องวิ่งของตนเองจนกระทั่งถึงเส้นตัด(เส้นโค้งแรกประมาณ 120 ม. )
3. การแข่งขันวิ่งผลัด 4x400 ม. คนที่ 1
วิ่งในช่องวิ่งของตนเองเท่านั้น คนที่ 2 วิ่งในช่องวิ่งของตน
เองจนระทั่งถึงเส้นตัด ซึ่งอยู่ในแนวเส้นชัย คนที่ 3 และ 4
จะยืนคอยรับในเขตรับระยะรวมเท่านั้น เมื่อนักกีฬาทีมใดวิ่งมาถึงจุด 200
ม.ก่อน ทีมนั้นจะสามารถยืนคอยรับคทาจากด้านในของลู่วิ่ง
เรียงตามลำดับออกมา
4. ถือไม้คทาด้วยมือตลอดการแข่งขัน หลังส่งไม้คทาแล้วควรอยู่ในช่องวิ่งของตนเองหรือภายใน
เขตรับส่จนกว่าทางวิ่งจะไม่มีนักกีฬา
5. สามารถเปลี่ยนนักกีฬาได้ 2 คนจะต้องมีรายชื่อในการแข่งขันครั้งนั้น
6. กรณีการแข่งขันวิ่งผลัด 4x100ม. ,4x400
ถ้ามีทีมแข่งขันไม่เกิน 5ทีมให้ไม้แรกวิ่งโค้งเดียวแล้วตัดเข้าช่องในได้
การแข่งขันวิ่งข้ามรั้ว
นักกีฬาจะต้องวิ่งข้ามรั้วทั้งหมด 10
รั้ง ตลอดระยะทางการแข่งขัน สิ่งต้องห้าม -
วิ่งข้ามรั้วเพียงขาข้างเดียว และห้ามใช้มือผลักดันรั้วหรือใช้ขาเจตนาถีบรั้วให้ล้ม
การแข่งขันประเภทลาน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
1. การแข่งขันประเภทกระโดด - กระโดดสูง ,เขย่งก้าวกระโดด ,กระโดดสูง ,กระโดดค้ำถ่อ
2. การแข่งขันประเภททุ่ม พุ่ง ขว้าง - ทุ่มน้ำหนัก ,ขว้างจัก ,ขว้างฆ้อน ,พุ่งแหลน
กติกาการแข่งขันกระโดดไกล
การแข่งขัน นักกีฬากระโดดในขั้นที่ดีที่สุดของแต่ละคน
จะถือเป็นสถิติ รวมทั้งตัดสินเสมอ กันของอันดับที่ 1 ด้วย นักกีฬากระโดดลงในบ่อทรายแล้วต้องออกไปข้างหน้าหรือด้านข้างเท่านั้น
กติกาการแข่งขันเขย่งก้าวกระโดด
: ประกอบด้วยเขย่ง
การก้าว และการกระโดด การเขย่งจะต้องใช้เท้าเดียวกับที่เหยียบ กระดานลงสู่พื้น
กติกาการกระโดดสู ง
:
จะต้องกระโดดด้วยเท้าข้างเดียว สามารถกระโดดได้ไม่เกิน 3
ครั้ง จะหมดสิทธิ์ในการแข่ง ขันความสูงต่อไป นักกีฬาที่ชนะเลิศสามารถเลือกความสูงได้ตามต้องการ
กติกาการแข่งกระโดดค้ำถ่อ
: หากกระโดดไม่ผ่าน
3 ครั้งถือว่าหมดสิทธิ์ ห้ามใช้ผ้ายางพันมือหรือนิ้วมือ
ยกเว้นบาดเจ็บ การแข่งขันในขั้นที่ดีที่สุดถือว่าเป็นสถิติ
กติกาการแข่งขันทุ่มน้ำหนัก
: นักกีฬาเข้าแข่งขันมากกว่า
8 คน การแข่งขันคนละ 3 ครั้ง
ผู้ทำสถิติดีที่สุดทำการแข่งขัน รอบสุดท้ายถ้าไม่เกิน 8 คน
คนละ 6 ครั้ง ทำการฝึกซ้อมได้ไม่เกิน 2 ครั้ง ต้องทุ่มภายในบริเวณวงกลม ลูกน้ำหนักต้องทุ่มออกไปจากไหล่ด้วยมือข้างเดียว โดยลูกน้ำหนักต้องสัมผัสหรืออยู่ชิดคาง
และมือต้องไม่ลดต่ำกว่าไหล่เลยไปด้านหลัง ขณะจะทุ่มลูกน้ำหนักออกไป
การฟาล์ว
: เมื่อเข้าไปในวงกลมเพื่อทำการทุ่มแล้วสัมผัสภายนอกวงกลมหรือขอบบนของไม้ขวาง
หรือขอบบนไม้ขวางหรือขอบบนของวงกลม จะต้องวางอุปกรณ์ไว้ด้านนอกหรือภายในวงกลมแล้วเดินออกด้านหลัง
ห้ามใช้ผ้ายางพันนิ้ว มือ 2 นิ้วหรือมากกว่าเข้าด้วยกันยกเว้นบาดเจ็บ
ห้ามสวมถุงมือและสามารถใช้สารทามือได้ สามารถคาดสายเข็มขัดหนังหรืออุปกรณ์อื่นที่จำเป็นว่าเหมาะสม เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
ของกระดูกได้ห้ามฉีดสเปรย์หรือสารบางอย่างในวงกลมหรือรองเท้า ลูกน้ำหนักต้องอยู่ภายในเส้นรัศมี และต้องไม่ออกจากวงกลมจนกว่าลูกทุ่มน้ำหนักจะตกถึงพื้น
กติกาการขว้างจักร
: จักรจะต้องตกภายในเส้นรัศมี ห้ามออกนอกวงกลมจนกว่าจักรจะตกถึงพื้นครั้งแรกสมบูรณ์แล้วต้องไม่ฉีดสเปรย์หรือสารบางอย่างในวงกลมหรือรองเท้า ห้ามใช้ผ้ายางพันนิ้ว มือ 2นิ้วหรือมากกว่าเข้าด้วยกันยกเว้นบาดเจ็บ สามารถคาดสายเข็มขัดหนังหรืออุปกรณ์อื่นที่จำเป็นว่าเหมาะสม เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
ของกระดูกได้ จักรที่ขว้างออกไปแล้ว ห้ามขว้างกลับมาให้ถือกลับมาที่วงกลม ห้ามออกนอกวงกลมจนกว่าจักรถึงเส้น
กติกาการขว้างฆ้อน
: ฝึกซ้อมได้ไม่เกิน 2ครั้ง การขว้างเริ่มจากในวงกลม เมื่อเหวี่ยงสัมผัสพื้นดิน หรือขอบของวงกลมจะไม่ถือว่าฟาล์ว แต่ถ้าหลังจากสัมผัสพื้นดินหรือ
ขอบเหล็กแล้วเขาหยุดการหมุนจะถือว่าฟาล์ว เมื่อเข้าไปในวงกลมห้ามสัมผัสพื้นดินนอกหรือขอบวงกลมจะถือว่าฟาล์ว ถ้าเกิดหลุดหรือขาดกลางอากาศไม่ถือว่าฟาล์ว และถ้าเสียหลักจนเกิดการฟาล์ว
การประลองครั้งนั้นไม่นับเช่นกัน ตัวฆ้อนต้องตกภายในรัศมี ,ห้ามออกนอกวงกลมจนกว่าฆ้อนจะตกถึงพื้น
, อุปกรณ์ที่ขว้างไปแล้วห้ามขว้างกลับให้ถือกลับมา
กติการพุ่งแหลน
: ต้องจับตรงที่จับ
การพุ่งจะต้องพุ่งออกไปเหนือไหล่หรือเหนือแขนท่อนบน ห้ามใช้วิธีเหวี่ยง หรือขว้าง หรือมุ่งด้วยท่าพลิกแพลงอื่น
ๆ การที่หัวแหลนที่เป็นโลหะไม่ได้ถูกพื้นก่อนส่วนอื่น
ๆของแหลนถือว่าการแข่งขันไม่มีผล ถ้าหากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย หรือแขนขา ถูกไม้โค้งหรือเส้นที่ลากต่อจากปลาย
ของส่วนโค้งถือว่าการแข่งขันไม่ได้ผล หากแหลนหักในระหว่างพุ่งให้ทำการแข่งขันใหม่ แหลนพุ่งแล้วห้ามพุ่งกลับ
กติกาการแข่งขันเดิน
: ลักษณะการเดินที่ถูกต้อง
ก่อนยกเท้าหลังจากพื้นเท้าหน้านำ ต้องสัมผัสพื้นก่อนด้วยส้นเท้า เมื่อเท้าหน้านำ สัมผัสพื้นแล้วต้องตึงชั่วขณะจนกว่าจะอยู่แนวตั้งฉากกับลำตัว
10. กติกาการแข่งขันประเภทรวม
1. ปัญจกรีฑา (ชาย) ประกอบด้วยการแข่งขัน 5 ประเภท
โดยทำการแข่งขันวันเดียวดังนี้ กระโดดไกล ,พุ่งแหลน ,วิ่ง 200ม.ขว้างจักรและวิ่ง 1,500 ม.
2. ทศกรีฑา (ชาย) 10 ประเภท จัดทำการแข่งขัน
2 วันติดต่อกัน วันแรก วิ่ง 100ม. ,กระโดดไกล ,ทุ่มน้ำหนัก ,กระโดดสูง ,วิ่ง 400 ม. วันที่สอง วิ่งข้ามรั้ว 110 ม. ,ขว้างจักร ,กระโดดค้ำ ,พุ่งแหลน ,วิ่ง 1,500 ม.
3. สัตตกรีฑา (หญิง) มีการแข่งขัน 7 ประเภท แข่ง 2 วันโดยมีดังนี้
วันแรก วิ่งข้ามรั้ว 100ม. ,กระโดดสูง ,ทุ่มน้ำหนัก ,วิ่ง 200ม.
วันที่ 2 กระโดดไกล , พุ่งแหลน , และวิ่ง 800 เมตร
ผู้ชนะ คือ
ผู้ที่สามารถทำคะแนนสูงสุดในการแข่งขัน ถ้าไม่เข้าแข่งขันหรือไม่ทำการประลองแม้แต่ครั้งเดียวให้ถือว่าเลิกการแข่งขัน
(ดร.สมชายและคณะ , 2546) (ดูภาพประกอบ)
ศีรษะในขณะวิ่ง อยู่ในมุมปกติ สายตามองไปข้างหน้า ใบหน้าและลำคอไม่เกร็ง
การแกว่งแขน ข้อศอกควรทำมุมประมาณ 90
องศา แกว่งให้ขนานกับลำตัว กำมือหลวมๆ
หรือปล่อยนิ้วเหยียดในลักษณะธรรมชาติ มือที่แก่วงมาด้านหน้าควรสูงระดับ
ไหล่ และ
ดึงกลับไปด้านหลังให้สูง
และห่างจากสะโพกประมาณ 6 – 8 นิ้ว
การวางเท้า เท้าที่ยกขึ้นจะต้องงอเข่า
พับขาท่อนล่างขึ้นให้ชิดขาท่อนบนให้มากที่สุด
และ ก้าวไปข้างหน้าอย่างเร็ว โดยดึงเข่าไปข้างหน้าให้ต้นขาขนานกับพื้น
พร้อมกับเหยียดขาไปด้านหน้า และวางปลายเท้าลงบนพื้น วิ่งด้วยปลายเท้า
ตลอดระยะทาง
ท่าตั้งต้นก่อนออกวิ่ง นิยมใช้อยู่ 3 แบบ
นักกีฬามักจะเลือกใช้ตามความถนัดและความเหมาะสมกับความสูงของนักกีฬา 1. แบบ Bunch Start ท่าเริ่มต้นปลายเท้าหลังอยู่แนวเดียวกันกับส้นเท้าหน้า ปลายเท้าหน้าห่างจากเส้นเริ่มประมาณ 19 นิ้ว ปลายเท้าหลังห่างจาก เส้นเริ่มประมาณ 29 นิ้ว ท่านี้เหมาะกับนักกรีฑาที่มีรูปร่างเตี้ย 2.แบบMediumStartท่าเริ่มต้นเข่าของเท้าหลังวางอยู่ตรงแนวกึ่งกลางของเท้าหน้าปลายเท้าหน้าห่างจากเส้นเริ่มประมาณ 15 นิ้วปลายเท้าหลังห่าง จากเส้นเริ่มประมาณ 34 นิ้ว ท่านี้เหมาะกับนักกรีฑามีรูปร่างสันทัดปานกลาง 3.แบบElongatedStartท่าเริ่มต้นให้เข่าของเท้าหลังวางอยู่ในแนวเดียวกับส้นเท้าหน้าปลายเท้าหน้าห่างจากเส้นเริ่มประมาณ 13 นิ้ว ปลายเท้าหลัง ห่างจากเส้นเริ่มประมาณ 14 นิ้ว ท่านี้เหมาะกับนักกรีฑาที่มีรูปร่างสูงโปร่ง
ท่าทางการวิ่ง 1. ในการวิ่งให้โน้มตัวไปข้างหน้าอย่างน้อย 20 องศา จากเส้นตั้งฉากในการวิ่งเต็มฝีเท้า 2. ศีรษะตั้งตรงทำมุมพอสบายตามองไปข้างหน้า 15 ฟุต ตามทางวิ่ง 3. เท้าก้าวไปข้างหน้าตรง ไม่วิ่งส่ายไปมา 4. ไหล่คงที่ แขนแกว่งจากหัวไหล่ เน้นการกระตุกข้อศอกไปข้างหลังในการเหวี่ยงแขน ไม่ตัดลำตัว 5. มือกำหลวม ๆหรือแบมือก็ได้ 6. ช่วงก้าวเท้ายาวเต็มที่ น้ำหนักอยู่บนเท้าที่สัมผัสพื้น 7. การวิ่งทางโค้ง ต้องเอนตัวเข้าด้านในของลู่เล็กน้อย แขนซ้ายแกว่งเป็นวงแคบ แขนขวาแกว่งแรงเป็นวงกว้าง ปลายแขนเหวี่ยงตัดเฉียงลำตัวเข้า หาสนาม ปลายเท้า พยายามจดพื้นเป็นเส้นขนานไปกับทิศทางการวิ่ง 8. ในการวิ่งระยะสั้นต้องใช้ความเร็ว ยกเข่าสูงกว่าการวิ่งระยะกลางและระยะไกล
ท่าทางการวิ่ง
1. ในการวิ่งให้โน้มตัวไปข้างหน้าอย่างน้อย
20 องศา
จากเส้นตั้งฉากในการวิ่งเต็มฝีเท้า
2. ศีรษะตั้งตรงทำมุมพอสบายตามองไปข้างหน้า
15 ฟุต ตามทางวิ่ง
3. เท้าก้าวไปข้างหน้าตรง
ไม่วิ่งส่ายไปมา
4. ไหล่คงที่
แขนแกว่งจากหัวไหล่ เน้นการกระตุกข้อศอกไปข้างหลังในการเหวี่ยงแขนไม่ตัดลำตัว
5. มือกำหลวม
ๆหรือแบมือก็ได้
6. ช่วงก้าวเท้ายาวเต็มที่
น้ำหนักอยู่บนเท้าที่สัมผัสพื้น
7. การวิ่งทางโค้ง
ต้องเอนตัวเข้าด้านในของลู่เล็กน้อย แขนซ้ายแกว่งเป็นวงแคบ
แขนขวาแกว่งแรงเป็นวงกว้าง
8. ปลายแขนเหวี่ยงตัดเฉียงลำตัวเข้าหาสนาม
ปลายเท้าพยายามจดพื้นเป็นเส้นขนานไปกับทิศทางการวิ่ง
9. ในการวิ่งระยะสั้นต้องใช้ความเร็ว
ยกเข่าสูงกว่าการวิ่งระยะกลางและระยะไกล
การเข้าเส้นชัย
1. ไม่ควรชะลอตัวแม้ว่าถึงเส้นชัยแล้วก็ตาม
ควรวิ่งเลยเส้นชัยแล้วค่อย ๆผ่อน ชะลอตัว
2. ไม่ควรกระโดดเข้าเส้นชัยเพราะอาจเสียการทรงตัว
3. ใช้วิธีพุ่งตัวให้หน้าอกหรือไหล่แตะแถบเส้นชัย
เหวี่ยงแขนไปข้างหลังให้อกหรือไหล่ยื่นไกลออกไปเพื่อแตะแถบเส้นชัยแล้ววิ่งเลยไปตามแรงส่งเพื่อไม่ให้เกิดการเสียหลัก
ทคนิคในการวิ่งเข้าเส้นชัย
การเข้าเส้นชัยทั้งการวิ่งระยะสั้น
และระยะกลางมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการเริ่มออกวิ่ง
เพราะการชนะกันอาจเกิดขึ้นตรงที่ใครเข้าเส้นชัยได้ดีกว่า และรวดเร็วกว่าทั้ง ๆ ที่วิ่งเสมอกันมาเกือบตลอดทาง
ลำดับที่ของผู้เข้าแข่งขันให้ถือเอาส่วนหนาของลำตัวของผู้เข้าแข่งขัน คือส่วนอก
( ไม่รวมศรีษะ คือ แขน ขา มือ หรือเท้า)
มาถึงขอบในของเส้นชัยตามแนวตั้งฉากกับเส้นชัย การเข้าเส้นชัยที่นิยมใช้ทั่วไปมี 3 แบบ ดังนี้
1) แบบวิ่งเข้าเส้นชัยธรรมดา เป็นวิธีการที่ไม่ต้องใช้เทคนิคหรือทักษะมากนักโดยใช้กำลังเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นผ่านเข้าเส้นชัย
ซึ่งใช้เมื่อนำหน้าคู่แข่งขันมาก ๆ
2) แบบใช้หน้าอก หลังจากเร่งฝีเท้ามาจนเต็มที่แล้ว เหลือระยะทางอีก 2-3 เมตร
จะเข้าเส้นชัยให้รีบก้าวยาวเฉียดพื้น ในท่าครึ่งก้าวครึ่งกระโดด
พร้อมกับกดตัวต่ำลง หน้าอกเข้าเส้นชัย
3) แบบใช้ไหล่ วิธีการเข้าเส้นชัยแบบนี้คล้ายกับแบบใช้หน้าอก
แต่แทนที่จะใช้หน้าอกเข้าเส้นชัย
ก็ใช้เอี้ยวตัดบิดก้มลงด้วยการเอียงไหล่ข้างหนึ่งเข้าเส้นชัย
หรืออาจจะก้มศีรษะพุ่งตัวให้หัวไหล่พุ่งตรงไปข้างหน้าก็ได้
การวิ่ง มี 3 ระยะ
การวิ่งระยะสั้น หมายถึง
การวิ่งในทางวิ่งหรือลู่วิ่งที่เรียบ ซึ่งระยะทางวิ่งไม่เกิน 400 เมตร จากจุดเริ่มต้น
จนถึงเส้นชัยสำหรับการแข่งขันกรีฑานักเรียนในประเทศไทย
อาจมีการเพิ่มรายการวิ่งระยะทาง 60 เมตร และ 80 เมตรเข้าไปด้วย เพื่อให้นักกรีฑาในรุ่นเล็กได้มีโอกาสร่วมแข่งขัน
เนื่องจากการแข่งขันวิ่งระยะสั้นทุกประเภทมีความสำคัญ
และให้ความตื่นเต้นสนุกสนานนอกจากนักกรีฑาจะต้องมีความเร็วตามธรรมชาติเป็นทุนเดิมแล้ว
การปฏิบัติให้ถูกต้องตามเทคนิคก็มีส่วนช่วยให้บรรลุผลตามความมุ่งหมายยิ่งขึ้น
การวิ่งระยะกลาง หมายถึงการแข่งขันวิ่งในระยะทาง 800 เมตร และ 1,500 เมตร ซึ่งกำลังได้รับความนิยมกันแพร่หลายอย่างมากทั้งระดับนานาชาติ และในระดับโลกเป็นการแข่งขันที่รวมความพร้อมของร่างกายทั้งหมดคือกำลังความเร็วความอดทนอย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ยังรวมถึงทักษะการฝึกด้านจังหวะการก้าวการแกว่งแขนที่มีความสัมพันธ์กันโดยต่อเนื่องโดยให้เกิดความกลมกลืนและมีประสิทธิภาพในการแข่งขันอย่างสูงสุด
การวิ่งระยะไกล หมายถึงการแข่งขันวิ่งระยะทางตั้งแต่ 1,500 เมตรขึ้นไปคุณสมบัติของนักกีฬาวิ่งระยะไกลคือมีรูปร่างค่อนข้างสูงมีน้ำหนักปานกลางกล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงและมีจังหวะในการวิ่งที่ดีดังนั้นการฝึกหัดโดยทั่วไปก็เพื่อจะปรับปรุงในเรื่องจังหวะการก้าวขาและการแกว่งขามีการใช้กำลังให้น้อยที่สุด
การทำกายบริหาร
การทำกายบริหารแบบง่าย
(ค้างไว้ 20 – 30 วินาที)
การทำกายบริหารแบบยากขึ้น
(ค้างไว้ 30
วินาทีหรือนานกว่า)
การทำกายบริหารที่
ค่อนข้างรุนแรง
(ไม่ควรทำ)
สิ่งสำคัญในการบริหารร่างกาย คือ
ต้องจัดสัดส่วนของร่างกายให้เหมาะสม
และเรียนวิธีปฏิบัติในแต่ละท่าให้เหมาะสมกับร่างกาย
ความอ่อนตัวจะเพิ่มโดยธรรมชาติ การปฏิบัติเป็นประจำและสม่ำเสมอ เหมาะสม
และไม่รู้สึกเจ็บปวด
แสดงว่าสามารถทำได้เกินขีดจำกัดที่มีอยู่
และใกล้กับศักยภาพของบุคคลนั้น
เทคนิคพื้นฐานของการบริหาร
1. อย่ายืดมากเกินไป โดยเฉพาะในตอนเริ่มต้น ให้ยืดอย่างช้าๆ และค่อยๆเพิ่มขึ้น
2. ค้างไว้ในตำแหน่งที่สบาย ความตึงของกล้ามเนื้อ ควรจะลดลงขณะที่ค้างไว้
3. หายใจช้าๆลึกๆตามธรรมชาติ หายใจออกขณะที่ก้มหน้าไปข้างหน้า ไม่ควรยืดในจุดที่
หายใจได้ไม่ตามธรรมชาติ
4. ไม่ควรกระแทกตัวขึ้น –
ลง
จะทำให้กล้ามเนื้อทุกมัดที่พยายามยืด
เกิดการตึง
5. ให้รู้สึกว่าส่วนที่ต้องการได้บริหาร
6. ทำอย่างสม่ำเสมอและผ่อนคลาย
7. ไม่ควรเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นๆ
การเริ่มต้นปฏิบัติกายบริหาร
VIDEO
แหล่งอ้างอิง
http://th.wikipedia.org/
http://www.aat-thailand.blogspot.com/
http://www.tuifino.com/Athletics/menu.htm http://www.thaitabletennis.com/wizContent.asp?wizConID=395&txtmMenu_ID=7